วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เงื่อนไขเพียงหนึ่งเดียว


     

          ถ้าจะกล่าวถึงเงื่อนไขในชีวิตของผมนั้น ผมคิดว่าผมมีเพียงเงื่อนไขเดียวเท่านั้นคือเงื่อนไขของการเป็นลูกที่ดีของผู้ที่ให้ชีวิตผมและผู้ให้ชีวิตคนนี้คือ"พระเจ้า"นั่นเอง โดยผ่านทางพ่อแม่ของผมเอง      
          เมื่อตอนเป็นเด็กพ่อกับแม่มักจะย้ำกับผมเสมอว่า ให้ผมเป็นลูกที่ดีของพระเจ้าเสมอๆไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหนและทำอะไร  ซึ่ง ณ ช่วงเวลานั้นผมก็ไม่รู้ถึงเงื่อนไขข้อนี้มักเท่าไรนักเพราะยังเป็นเด็กอยู่ แต่พอมาถึงปัจจุบันนี้ผมยอมรับว่าผมได้รับรู้ถึงเงื่อนไขนี้เป็นอย่างดีและเงื่อนไขนี้ก็ยังคงตราตรึงในหัวใจของผมอยู่เสมอจนถึงทุกวันนี้กล่าวคือ การที่เป็นลูกที่ดีของพระเจ้านั้นไม่ได้หมายความว่าผมต้องเป็นพระสงฆ์หรือนักบวชเท่านั้น แต่มันยังหมายถึงว่าผมควรเป็นคนที่ดีในทุกๆสถานะการณ์ ไม่ว่าจะได้บวชหรือไม่ได้บวชบวชก็ตามและเงื่อนไขนี้ก็คือ การเป็นศิษย์ติดตามองค์พระเยซูเจ้าด้วยพยานและชีวิตของผมเอง ด้วยการพูดดี คิดดีและทำดีกับทุกๆคนที่เข้ามาในชีวิตของผม ไม่ว่าคนๆนั้นจะดีกับผมหรือไม่ก็ตาม 
          ด้วยเหตุนี้เองผมจึงคิดว่า สิ่งนี้เป็นเงื่อนไขเดียวในชีวิตของผมที่ผมต้องปฏิบัติตาม เพราะว่าสุดท้ายแล้วผมคิดการที่ได้พูดดี คิดดี และทำดีนั้น มันมีคุณค่าและมีความหมายต่อทั้งตัวผมเองและคนรอบข้างมากกว่าการที่ผมจะต้องพูดไม่ดี คิดไม่ดี และทำไม่ดีกับคนอื่นนั่นเอง
    

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความทรงจำครั้งสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด

          "แม้อาจเป็นสุดท้ายที่ฉันได้เจอเธอ สุดท้ายที่ฉันได้มองเธอ จะบอกให้ฟังและย้ำว่าฉันนั้นรักเธอ แม้ฉันต้องจากไป แต่ภายในใจนั้นยังรัก เธอมีค่าเกินที่ฉันจะลืม ความทรงจำครั้งนี้ไม่มีลืม"

          
           นี่คือเนื้อเพลง "ความทรงจำครั้งสุดท้าย" ของศิลปินวงแคลชในช่วงท่อนรับที่สะกิดใจของผมทุกครั้งเมื่อได้ฟังเพลงนี้ เพราะมันทำให้ผมได้คิดถึงความทรงจำครั้งสุดท้ายกับเพื่อนสมัยประถมกลุ่มหนึ่ง เพื่อนกลุ่มนี้มีชื่อว่า "ตั้ม" "แบงค์" "จืด" "เป้า"และ "เบียร์" ผมได้รู้จักกับเพื่อนกลุ่มนี้เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นผมได้ย้ายเข้ามาเรียนในโรงเรียนรังษีวิทยา ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เขตอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นอำเภอใกล้เคียงกับบ้านเกิดของผม ผมมาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้เพราะว่าพ่อของผมต้องการให้ผมได้มีโอกาสเรียนในโรงเรียนที่ดีและมีระบบการศึกษาที่ดีกว่าในโรงเรียนประจำหมู่บ้าน เนื่องจากว่าป้าของผมเป็นครูและสอนที่โรงเรียนแห่งนี้มาหลายปี ป้าของผมจึงให้ผมมาพักอยู่ที่บ้านของท่านใกล้ๆโรงเรียนนี้และผมก็ต้องเดินไปโรงเรียนทุกวันเพราะบ้านของป้าอยู่ใกล้โรงเรียนนั่นเอง           
          วันแรกที่ได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ ผมรู้สึกโดดเดี่ยวมากเพราะว่าผมไม่รู้จักใครเลยและมันก็เป็นการย้ายโรงเรียนครั้งแรกของผม ผมคิดถึงเพื่อนที่อยู่โรงเรียนเดิมและทำอะไรไม่ถูก เมื่อเคารพธงชาติเสร็จพวกเรานักเรียนแต่ละชั้นก็ได้แยกย้ายกันเข้าห้องเรียนของตนเองรวมถึงผมด้วย ซึ่งตอนนั้นผมอยู่ห้องป. 5/5 มีจำนวนนักเรียนประมาณ 50 คน หลังจากที่เข้าห้องเรียนแล้ว ครูประจำชั้นของผมก็เช็คชื่อและให้นักเรียนแต่ละคนแนะนำตัว เมื่อถึงช่วงที่ผมต้องแนะนำตัว ผมก็แนะนำตัวเองได้นิดนึงและน้ำตามันก็ไหลเพราะว่าตอนนั้นผมยังไม่รู้จักเพื่อนในห้องเรียนและรู้สึกโดดเดี่ยวมาก จนครูประจำชั้นก็บอกว่า "ไม่เป็นไรนะ" แล้วท่านก็ให้ผมนั่งลงและบอกเพื่อนๆของผมว่าให้ช่วยปลอบและทำความรู้จักกับผม เพื่อที่ว่าผมจะได้รู้สึกโดดเดี่ยวเวลาอยู่ในห้องเรียน          
           เมื่อถึงช่วงพัก ผมก็เดินออกไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างที่ผมกำลังเดินไปเข้าห้องน้ำ ก็มีกลุ่มเพื่อนในห้องของผมประมาณ 5 คน เดินเข้ามาทักทายพร้อมทั้งแนะนำตัวให้ผมรู้จักตามชื่อที่บอกไปข้างต้นและพวกเพื่อนๆก็บอกผมว่า "ไม่ต้องกลัวว่าไม่มีเพื่อนหรอก เพราะพวกเราเนี่ยจะเป็นเพื่อนนายเอง ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกกันได้นะ" แล้วหนึ่งในกลุ่มเพื่อนกลุ่มนั้นก็ให้เงินผม 20 บาท เพื่อเอาไปซื้อขนม ซึ่ง ณ ตอนนั้น ผมก็รู้สึกดีใจที่เพื่อนกลุ่มนั้นเข้าหาผมและชวนผมเข้ากลุ่ม ส่วนเงินที่ได้รับมา ผมก็รู้สึกเกรงใจเพื่อนเหมือนกันและผมก็บอกพวกเขาว่า "ผมไม่รับเงินได้มั้ย" แต่พวกเพื่อนๆก็บอกว่า "รับไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก เราเป็นเพื่อนกัน" ตั้งแต่นั้นมาผมก็เข้ากลุ่มกับเพื่อนๆและก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไปในเวลาที่มาโรงเรียน เพราะว่าผมมีเพื่อนกลุ่มนี้ที่ชวนไปเล่นฟุตบอล ตอนช่วงพัก และเวลาอยู่ในห้อง เพื่อนๆกลุ่มนี้ก็ช่วยเหลือผมทุกอย่างในด้านการเรียน การทำงานกลุ่ม รวมถึงการพูดคุยและเล่นกันในห้องเรียนด้วยในเวลาที่ครูยังไม่เข้ามาสอน นอกจากนี้เวลาที่โรงเรียนมีกิจกรรมแข่งกีฬาสีและงานคริสต์มาส เพื่อนๆกลุ่มนี้ก็ชวนผมเข้าร่วมกิจกรรมเสมอ เช่นเดียวกันกับเวลาที่เพื่อนผมต้องการให้ผมช่วยทำการบ้าน ผมก็ช่วยเหลือพวกเขาด้วยความเต็มใจในเรื่องที่ผมช่วยได้ เพราะว่าการบ้านบางข้อนั้น ผมก็ทำไม่ได้และต้องมาลอกเพื่อนๆในห้องเหมือนกัน (ฮ่าๆๆ) ซึ่งตรงจากนี้เอง ทำให้ผมมีความสุขกับการใช้ชีวิตที่โรงเรียนแห่งนี้มากกว่าตอนที่เข้ามาเรียนวันแรกเป็นอย่างมาก           
          ผมเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ได้ 2 ปี และก็ต้องย้ายโรงเรียนอีกครั้งคือ การย้ายเข้ามาเป็นเณรที่บ้านเณรพระมหาไถ่ ศรีราชาและได้ศึกษาต่อที่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชาตั้งแต่ ม.1-ม.6 และช่วงที่ผมอยู่ที่บ้านเณรหรือกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวนั้น ผมก็คิดถึงพวกเขาและอยากเจอพวกเขาเหมือนกันตั้งแต่จบ ป.6 และจากกันมา แต่ผมไม่สามารถติดต่อกับพวกเขาได้ เพราะว่าผมไม่มีโทรศัพท์มือถือและไม่ได้ขอที่อยู่ อีเมล์และเบอร์พวกเพื่อนๆใว้ (ซึ่งสมัยที่ผมจบ ป.6 นั้ โทรศัพท์มือถือมันแพงมาก) ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ได้ติดต่อและเจอกับพวกเขามาเกือบ 13 ปีแล้ว แม้ว่า ณ ตอนนี้ผมก็มีโทรศัพท์มือถือแล้ว ผมก็ยังไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลย แต่ผมก็พอจะรู้อยู่บ้างเพื่อนบางคนอยู่ที่ไหน จากป้าของผมที่ยังสอนอยู่ ณ โรงเรียนแห่งนี้และผมก็ตั้งใจว่า ในวันคืนสู่เหย้าของโรงเรียนรังษีวิทยานั้น ผมอยากจะไปร่วมงานเพื่อเจอกับพวกเขาสักครั้งนึงในไม่ช้านี้ ซึ่งที่ผ่านมานั้น ทางโรงเรียนได้จัดงานตรงกับช่วงเวลาที่ผมเรียนทุกๆปีและผมก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ไปร่วมเลย           
          สำหรับตอนนี้ มันก็เหลืออีกแค่ปีเดียวที่ผมจะจบการเรียนการศึกษาในระดับปริญญาตรี ผมก็ตั้งใจว่าจะไปร่วมงานคืนสู่เหย้าของโรงเรียนสักครั้ง ซึ่งอาจจะเป็นปีหน้าก็เป็นได้และผมก็หวังว่าจะได้เจอกับเพื่อนๆกลุ่มนี้อีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าเวลามันจะผ่านมานานแล้วก็ตาม

วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เวลาเท่ากับอายุของผม หรือ อายุของผมเท่ากับเวลา


          เมือผมเป็นเด็ก ผมก็คิดแบบเด็กๆ ปฏิบัติตนแบบเด็กๆ คือ ไม่คิดอะไรมากมายกับชีวิต เล่นไปวันๆอีกทั้งไม่สนใจในอนาคตที่จะเกิดขึ้นด้วยว่ามันจะเป็นอย่างไร ทุกๆวันในชีวิตก็จะคิดถึงแต่เรื่องขนม ของเล่น การ์ตูน โดยเฉพาะการ์ตูนเรื่อง ดราก้อนบอล นอกจากนี้ผมยังไม่มีความสามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้เท่าที่ควร  ต้องให้แม่ซักเสื้อผ้าให้ทุกครั้งและเวลาเจ็บป่วยพ่อกับแม่ก็ต้องพาไปหาหมอและดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่เสมอๆ จนแทบจะไม่อยากให้ช่วงชีวิตนี้ผ่านไปเลย เพราะผมมีความสุขมากในเวลาที่ผมได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่และพี่น้อง แต่เวลาและอายุของผมมันไม่หยุดเดินนะซิ เพราะว่ามันเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆและอายุของผมก็มากขึ้นเรื่อยๆด้วยจนเข้าสู่ช่วงเวลาของวัยรุ่น 
          เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่ผมได้เริ่มออกห่างจากพ่อแม่ ผมก็มีโอกาสได้เข้าบ้านเณรคณะพระมหาไถ่ที่ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งตอนนั้นผมก็มีอายุได้ 12 ขวบ พอดีและผมก็เริ่มมีความคิดและอยากมีชีวิตในแบบที่ผมต้องการจะเป็นคือการมีชีวิตแบบวัยรุ่น เพราะมันดูเหมือนกับว่าชีวิตมันมีอิสระ ไม่โดนบังคับจากพ่อแม่และเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่มันก็ต้องอยู่ในกฏระเบียบและขอบเขตที่บ้านเณรได้กำหนดใว้ อีกทั้งผมยังต้องดูแลรับผิดชอบชีวิตด้วยตัวของผมเองในด้านการเรียน การภาวนา การทำงาน การเล่นกีฬา การมีชีวิตหมู่คณะกับรุ่นพี่ รุ่นน้องและเพื่อนๆในบ้านเณร เพราะว่าผมไม่มีพ่อแม่ที่จะอยู่ใกล้ชิดและคอยรับผิดชอบดูแลชีวิตผมทุกๆวันตลอดเวลาเหมือนที่ผ่านมาในช่วงชีวิตของวัยเด็ก ซึ่งตรงนี้เองทำให้ผมตระหนักและเริ่มรู้สึกถึงคุณค่าและความหมายของชีวิตมากขึ้นว่า ผมต้องใช้เวลาทุกวินาทีของตัวเองในบ้านเณรนี้ให้มันมีประโยชน์และมีคุณค่าทั้งต่อตนเองและเพื่อนๆให้มากที่สุดเท่าที่จะได้ ทั้งเรื่องการเรียน การภาวนา การกีฬา การทำงานและการใช้ชีวิตกลุ่ม เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ที่ให้ชีวิตผมและบ้านเณรที่ช่วยอบรมและหล่อหลอมจิตใจของผมให้รู้จักกับ "พระเจ้า" มากกว่าตอนที่ยังเป็นเด็ก ด้วยเหตุนี้เอง แม้ว่าชีวิตในวัยรุ่นของผมอาจจะไม่ตื่นเต้นและสนุกสนานเท่ากับชีวิตวัยรุ่นของผู้คนทั่วไปที่ต้องเผชิญและต่อสู้กับสภาพแวดล้อมจากสังคมและยาเสพย์ติดทั้งหลายในทุกๆวันของชีวิต แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงคุณค่าและความหมายของชีวิตวัยรุ่นที่ผมได้รับจากบ้านเณรว่ามันก็มีความตื่นเต้นและสนุกสนานไม่แพ้ชีวิตข้างนอกเหมือนกัน อย่างไรก็ตามเวลาและอายุของผมมันก็เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆเหมือนเดิม มันไม่เคยเดินถอยหลังเลย 
          เมื่อผมได้ผ่านช่วงชีวิตวัยรุ่นไปแล้วพร้อมทั้งเริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ผมก็มีความคิดแบบผู้ใหญ่ ปฏิบัติตนแบบผู้ใหญ่มากขึ้นตามวัยวุฒิและคุณวุฒิและผมได้มีโอกาสศึกษาถึงปรัชญาและมุมมองของนักปรัชญาแต่ละคนในอดีตจนถึงปัจจุบัน ณ วิทยาลัยแสงธรรม แห่งนี้ จากช่วงชีวิตตรงจุดนี้เอง ทำให้ผมผมได้รับแนวคิดและมุมมองในเรื่องของ "เวลา" มากขึ้นกว่าแต่ก่อน อีกทั้งยังเข้าใจความหมายของมันอย่างถ่องแท้ด้วยว่า "เวลากับอายุชีวิตของผมนั้นมันเท่ากันและผมไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเวลาและอายุของผมจะหมดลงในตอนไหน แต่สิ่งที่ผมทำได้และควรทำในขณะที่ผมยังมีเวลาและมีชีวิตอยู่คือ การทำสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ที่สุดให้กับตนเอง คนที่ผมรักและผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ต้องไปสนใจว่าคนอื่นเขาจะว่าอะไร จะคิดยังไง เพราะผมคิดว่าถ้าผมทำดี ผมก็จะได้สิ่งดีๆเป็นรางวัลตอบแทนอย่างแน่นอนจากพระเจ้า ผู้ซึ่งผมรักและมีความเชื่อในพระองค์ แต่ถ้าผมทำสิ่งที่ไม่ดีให้กับตนเองและผู้อื่น ผมก็จะได้รับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิตเท่านั้นเอง" ด้วยเหตุนี้ ผมคงไม่ต้องบอกหรอกนะว่า การทำดีควรทำกันยังไง ซึ่งผมคิดว่าในใจของมนุษย์แต่ละคนนั้นรู้อยู่แก่ใจและสามารถแยกแยะได้อยู่แล้วว่า "อะไรดี" และ "อะไรไม่ดี" และ ณ ตอนนี้ผมก็อายุได้ 23 ปี แล้ว เมื่อผมได้มองย้อนกลับไปในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของผม มันทำให้ผมเข้าใจว่า "เวลาของผมมันผ่านไปเร็วพอๆกับอายุของผมเลยนะเนี่ย"