"หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน"
นี่คือสำนวนโบราณสำนวนหนึ่งที่เรามนุษย์ทุกยุคทุกสมัยได้รู้จักและเข้าใจกับความหมายของสำนวนนี้ได้เป็นอย่างดีว่า สิ่งต่างๆทั้งหลายที่ได้ก่อกำเนิดขึ้นมาและเป็นอย่างที่เราได้เห็นและสัมผัสนั้นล้วนแต่ต้องใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น ทั้งนี้ยังรวมไปถึงความเป็นบุคคลของเรามนุษย์แต่ละคนด้วยเช่นกันกล่าวคือ บุคคลที่เรารู้จักหรือคบหาด้วยนั้นยากนักที่จะรู้ว่าจริงๆแล้วเขาเป็นคนเช่นไรและเราอาจได้ยินจากคนอื่นว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้นเขาคนนั้นอาจเป็นตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราได้ยินและได้เห็นก็เป็นได้ ฉะนั้นกาลเวลานี้เองจะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เรารู้ว่า แท้จริงแล้วบุคคลนั้นเป็นคนเช่นไร
มีคนเคยกล่าวใว้ว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นล้วนต้องใช้เวลา" ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้เพราะว่า ต้นไม้ที่จะเติบโตได้นั้นก็ต้องอาศัยการดูแลที่ดีและระยะเวลาในการเจริญเติบโต เช่นเดียวกันกับมนุษย์เราที่จะเจริญเติบโตทั้งกายและใจได้นั้น เราก็ต้องอาศัยระยะเวลาในการเจริญเติบโตและการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษด้วยความรักเหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้เองผมจึงอยากจะชวนให้ผู้อ่านได้ย้อนกลับไปพร้อมกันถึงช่วงเวลาในประวัติศาตร์ของผมที่ผ่านมาเมื่อครั้งสมัยที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่ง ณ ช่วงเวลานั้น ผมเล่นกีตาร์ไม่เป็นเลย ฉะนั้นผมจึงไปเรียนและฝึกเล่นกับรุ่นพี่ในบ้านเณร (ซึ่งก็มีรุ่นพี่หลายคนที่สามารถเล่นกีตาร์ได้ดีเยี่ยม) ผมก็ใช้เวลาฝึกฝนด้วยความตั้งใจและความรักเป็นเวลา 3 เดือน จนผมสามารถตีคอร์ดและเล่นเป็นเพลงได้ 1 เพลง ผมก็ดีใจมากที่ผมสามารถเล่นกีตาร์และร้องเพลงที่ผมชอบได้ในเวลานั้น และหลังจากนั้นผมก็เล่นกีตาร์เกือบทุกวัน (บางวันก็ต้องแย่งกันเล่นกับเพื่อนๆ พี่ๆ ในบ้านเณร เพราะกีตาร์มีจำนวนจำกัด) เมื่อเวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ผมก็สามารถเล่นกีตาร์ได้ดีมากกว่าเดิมในช่วงที่ฝึกฝนครั้งแรก อีกทั้งยังสามารถเล่นกีตาร์พร้อมทั้งร้องเพลงไปด้วยอย่างคล่องแคล่วมากกว่าแต่ก่อนด้วยเช่นกัน
เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าการที่ผมสามารถเล่นกีตาร์เป็นได้นั้นก็เป็นผลมาจากการที่ผมได้ลงมือฝึกฝนในการเล่นกีตาร์ด้วยความรักและความเอาใจใส่ ซึ่งผลที่ออกมานั้นก็ล้วนแต่เกิดผลดีทั้งต่อตัวผมเองในการที่จะใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์และสร้างสรรค์ อีกทั้งยังก่อให้เกิดผลดีแก่บุคคลรอบข้างด้วยเช่นกันในเวลาที่ผมต้องเล่นกีตาร์เพื่อบรรเลงเพลงในมิสซา หรือแม้กระทั่งเวลาที่มีงานเลี้ยง ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้เองที่ผมคิดว่ามันล้วนต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสุจน์ทั้งสิ้น รวมถึงเรื่องการคบคนรักด้วยเช่นกัน
ดังนั้น สำหรับผมแล้ว สำนวนนี้เป็นสำนวนที่ผมชอบมากและได้นำมายึดใช้เพื่อเป็นคติพจน์ในการดำเนินชีวิตของผมในแต่ละวันอยู่เสมอๆ ถ้าหากจะย้อนกลับไปนึกถึงช่วงเวลาที่ผมได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั้น ผมยอมรับว่า สำนวนนี้ได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีงามต่อชีวิตของผมเป็นอย่างมากและผลลัพธ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาในชีวิตของผมนี้ ก็เป็นการอธิบายถึงความหมายของสำนวนนี้ได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกันว่า ระยะเวลาที่ผมได้ศึกษาร่ำเรียนและแสวงหาความรู้ในด้านต่างๆตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนกระทั่งถึงระดับปริญญาตรีชั้นปีที่สี่ในปัจจุบันนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่จะพิสูจน์ถึงตัวตนที่แท้จริงของผมในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งว่า ผมได้พิสูจน์ตัวเองได้ดีมากน้อยเพียงใด? นั่นเอง
สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่า "เวลากับความรักนั้นล้วนมีความสัมพันธ์ต่อกัน เพราะว่า ความรักที่เรามีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นจะสามารถเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยเวลาและเวลานี่เองจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าความรักที่เรามีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นมีคุณค่ามากมายเพียงใดต่อเราแต่ละคน"