วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556
เปิดใจเราก่อน แล้วเราจะรู้ว่าใจคนอื่นเป็นอย่างไร
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "ถ้าอยากกิน ก็ต้องเปิดปาก อยากได้ยิน ก็ต้องเปิดหู อยากได้กลิ่นก็ต้องเปิดจมูก อยากมองเห็นก็ต้องเปิดตาและอยากจะเข้าใจ ก็ต้องเปิดใจ" ซึ่งสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่เป็นความจริงมากทีเดียวในชีวิตของเราแต่ละคน
หลายๆครั้งในชีวิตเรา มันก็มีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้เราไม่ได้กิน ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้เห็นและไม่ได้เข้าใจกับสิ่งต่างๆรอบๆตัวเรา ซึ่งถ้าเราลองกลับมาพิจารณาดูดีๆแล้ว เราก็จะพบว่า สาเหตุที่สำคุัญที่สุดก็เกิดจากตัวเราเองนั่นแหละที่ไม่ยอมเปิดปาก เปิดหู เปิดจมูก เปิดตาและเปิดใจของเราเองในการรับรู้ถึงสิ่งต่างๆรอบตัวเรา จนทำให้เราไม่ได้สัมผัสกับสิ่งที่ปากเราอยากจะกินหรือดื่ม สิ่งที่หูเราอยากจะได้ยิน สิ่งที่จมูกเราอยากจะได้กลิ่น สิ่งที่ตาเราอยากจะมองเห็น และสิ่งที่ใจเราอยากจะเข้าใจในสิ่งต่างๆเหล่านั้น
เพราะฉะนั้น ในการที่เราจะได้กินหรือดื่ม ได้ยิน ได้กลิ่น ได้มองเห็นและได้เข้าใจถึงสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเราและที่เราพบเจอ มันก็จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเริ่มจากตัวเราเองในการเปิดสิ่งต่างๆเหล่านี้ ซึ่งรวมไปถึงใจของเราด้วยเช่นกัน และถ้าเราอยากรู้ว่าใจคนอื่นนั้นเป็นอย่างไร เราก็ต้องเริ่มจากตัวเองที่จะต้องเปิดใจของเราในการรับรู้และเข้าใจถึงใจของบุคคลที่เราอยากรู้จักนั่นเอง
วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556
ชีวิตเป็นของเราหรือของคนอื่น?
"คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วันและจะมีลมหายใจได้อีกกี่ครั้งยังไม่รู้ "
"ชีวิตจะเป็นแบบไหนคงต้องเลือกเอา ก็ตัวของเราและก็ใจของใครของมัน ชีวิตจะเป็นแบบนี้คงไม่ว่ากัน เพราะชีวิตมันเป็นของเรา"
นี่คือบทเพลงที่ศิลปินวง Bodyslam ได้ถ่ายทอดอารมณ์ของบทเพลงให้กับแฟนๆทั้งหลายของพวกเขารวมทั้งผมด้วย ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกชอบเพลงนี้มากและก็ฝันที่จะได้ไปชมการแสดงคอนเสริตของวงนี้อีกซักครั้งในชีวิต หลังจากที่เคยได้ไปชมมาก่อนครั้งหนึ่งแล้วในการแสดงคอนเสริตแบบนั่งเล่นที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา
เมื่อกล่าวถึงคำว่า "ชีวิต" แล้ว ทุกคนล้วนตระหนักและเข้าใจถึงคุณค่าและความหมายของคำนี้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะความเป็นบุคคลของมนุษย์เราแต่ละคน ซึ่ง "ชีวิต"นี้ประกอบด้วย "ร่างกาย" "จิตใจ" และที่ขาดไม่ได้คือ "ลมหายใจ"นั่นเอง ซึ่งทุกๆชีวิตของมนุษย์เราล้วนต้องการทั้งสามสิ่งนี้เข้าด้วยกัน จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปมิได้ นอกจากนี้ทุกคนก็ล้วนต้องการสิ่งที่ดีและมีคุณค่าทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ความรัก ความเอาใจใส่ ความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อที่จะทำให้ีชีวิตของตนเองนั้นสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้บนโลกใบนี้
หากเราแต่ละคนได้มองย้อนกลับไปถึงช่วงประวัติศาสตร์ของมนุษย์เราที่ได้ถูกบันทึกไว้ผ่านทางงานเขียนและเรื่องเล่าทั้งหลายแล้ว จะเห็นได้ว่ามนุษย์เราต่างก็ได้ใช้ชีวิตที่ตนเองมีอยู่ไปในทางที่ดีงามและไม่ดีงามควบคู่กันไปตามสถานการณ์และช่วงจังหวะของชีวิตที่แต่ละคนได้เผชิญ บางครั้งมนุษย์เราแต่ละคนได้ทำลาย "ชีวิต" ของกันและกันด้วยความตั้งใจโดยการทำสงคราม การแก่งแย่งชิงดีกันทั้งในเรื่องอำนาจ ชื่อเสียงและเงินทอง แม้กระทั่งการเมินเฉยหรือละเลยที่จะช่วยเหลือผู้คนที่ขาดแคลนทั้งเรื่องอาหารและที่อยู่อาศัย เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เอง ผมในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งบนโลกใบนี้ก็เลยเกิดคำถามขึ้นมาในหัวสมองทุกๆวันว่า "แท้จริงแล้วเราแต่ละคนนั้นมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันแน่ ?" "เราแต่ละคนมีชีวิตอยู่เพื่อทำลายกันและกัน หรือว่า เรามีชีวิตอยู่เพื่อเสริมสร้างสิ่งทีดีงามและมอบความรักให้แก่กันและกัน?" และ "ชีวิตของเราแต่ละคนนั้น แม้ว่าเราจะเป็นเจ้าของชีวิตของตัวเอง แต่เราก็มีสิทธิ์เลือกและทำในสิ่งที่ดีงาม มีคุณค่า มีความหมายให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้จริงหรือ? หรือว่า เราเลือกที่จะไม่ทำในสิ่งที่ดีงาม มีคุณค่า มีความหมายให้กับตนเองและผู้อื่นได้เช่นกัน?" ซึ่งคำถามเหล่านี้ต่างก็ต้องการคำตอบและคนที่จะตอบคำถามเหล่านี้ก็คงจะหนีไม่พ้นมนุษย์เรานั่นเอง รวมทั้งตัวผมด้วย
เพราะฉะนั้น ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ยังมี "ชีวิต" บนโลกใบนี้ ผมคิดว่า "ชีวิตที่เป็นของเราและตัวเรานั้น เราสามารถทำให้มันมีคุณค่าและมีความหมาย อีกทั้งยังประโยชน์ต่อคนอื่นได้ โดยเฉพาะคนรักของเรา คนรอบข้างของเราและคนที่ยังต้องการความช่วยเหลือทั้งร่างกาย จิตใจ อาหาร ที่อยู่อาศัยและอื่นๆ ที่พวกเขาเหล่านี้ยังต้องการการเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปในชีวิตของพวกเขาทั้งหลาย เพื่อที่ว่าพวกเขาเหล่านี้จะได้มี "ชีวิต" ที่เหมือนกันกับเราและเท่าเทียมกันกับเรา โดยที่เราไม่ได้ไปครอบงำหรือเป็นเจ้าของชีวิตของพวกเขา"
สุดท้ายนี้ผมก็อยากจะฝากคำถามให้กับผู้อ่านแต่ละท่านว่า "ชีวิตที่เรามีและได้รับมาจากผู้ให้กำเนิดเรานั้น เราใช้มันอย่างคุ้มค่ากับสิ่งที่เราได้รับมาแล้วรึยัง?" ถ้ายัง ก็จงทำให้มันมีคุณค่าและมีความหมายเถิดครับ
ประวัติศาสตร์ความเชื่อของมนุษย์กับศาสนา
"ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไร มันจะไปจบที่ตรงไหน แต่จะยังไง ก็ต้องไปใหถึง..............."
ในชีวิตของคนเรานั้น "ความเชื่อ" ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญส่วนหนึ่งในชีวิตมนุษย์เราเช่นเดียวกันกับลมหายใจ ความเชื่อนี้แม้ไม่อาจสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในเชิงนามธรรม แต่เราก็สามารถมองเห็นได้จากการกระทำซึ่งออกมาในเชิงรูปธรรม ตัวอย่างเช่น บางคนเชื่อว่าสวรรค์คือสถานที่ที่มีแต่ความสงบสุข ปราศจากสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย อีกทั้งยังเป็นสถานที่อยู่ของคนที่ทำความดีทั้งหลายบนโลกใบนี้ ซึ่งถ้าพวกเขาได้ตายไปแล้ว พวกเขาก็จะมีสิทธิ์ได้อยู่ในสวรรค์ ด้วยเหตุนี้เอง บางคนจึงตั้งใจทำแต่สิ่งที่ดีให้กับตนเองและผู้อื่นอยู่เสมอๆตลอดชีวิตและลมหายใจของพวกเขา เพื่อที่ว่า เมื่อพวกเขาได้ตายไปแล้ว พวกเขาก็จะมีสิทธิ์อยู่ในสวรรค์ ตามที่ตนเองปรารถนา
จากตรงนี้เองทำให้ผมได้กลับมามองดูที่ประวัติศาสตร์ส่วนตัวของผมในเรื่องของความเชื่อในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อในเรื่องวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี คุณธรรม จริยะรรมและศาสนา โดยเฉพาะความเชื่อในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคของผมเอง (ซึ่งเป็นความเชื่อในเรื่อง "พระเจ้า"คือผู้สร้างและผู้ให้ชีวิตแก่สิ่งสร้างทั้งหลาย) ซึ่งผมคิดว่าความเชื่อในเรื่องพระเจ้าของผมนั้นเริ่มจากบิดาและมารดาซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดผมมา อีกทั้งยังถ่ายทอดความเชื่อในเรื่องพระเจ้านี้ให้แก่ตัวผมเองโดยผ่านการเป็นแบบอย่างและการดำเนินทางชีวิตของพวกท่านตั้งแต่สมัยที่ผมยังเด็กจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ นอกจากนี้ผมคิดว่าความเชื่อนี้ยังเกิดจากการที่ผมได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับข้อความเชื่อในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคตั้งแต่สมัยป.2 จนถึงปัจจุบันนี้ด้วยความตั้งใจและจริงจัง รวมทั้งได้นำข้อคำสอนและความรู้ที่ได้จากการเรียนในชั้นเรียนมาฝึกฝนและปฏิบัติให้เกิดผลในการดำเนินชีวิตแต่ละวันที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน เหตุนี้เอง ผมยอมรับว่าความเชื่อในเรื่องพระเจ้านั้นได้ฝังลึกลงในจิตใจของผมตั้งแต่อดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้แล้ว จนทำให้ผมได้กลายมาเป็นคริสตชนและเป็นผู้ที่จะเตรียมตัวเป็นผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคให้กับบุคคลอื่นที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตามความเชื่อของผมในเรื่องพระเจ้านี้อาจจะถุกถอนออกไปได้เสมอๆและมันก็จะหมดไป ถ้าหากว่าผมไม่ได้ปฏิบัติตามข้อคำสอนและสิ่งที่ผมได้เชื่อโดยผ่านทางการดำเนินชีวิตของผมเอง
ดังนั้น ผมจึงอยากจะบอกแก่ท่านผู้อ่านทั้งหลายว่า "ไม่ว่าเราจะมีความเชื่อในศาสนาใดก็ตาม มันก็ล้วนแต่จะเกิดผลดีแก่ตัวเราทั้งสิ้นถ้าหากว่าเราได้นำสิ่งที่เราเชื่อนั้นมาปฏิบัติให้เกิดผลต่อตนเองและผู้อื่นในชีวิตประจำวันของเรา แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากว่าเราไม่ได้นำสิ่งที่เราเชื่อมาปฏิบัติให้เกิดผลในชีวิตของเราแล้ว ความเชื่อของเราต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น ก็จะหายไปและหมดไปอย่างแน่นอน"
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556
บทเพลง "อบู อเบ อเชโบ๋"
นี่คือบทเพลงที่เกี่ยวกับกาลเวลาที่นำพาให้เราแต่ละคนได้พบเจอกับสิ่งๆหนึ่ง ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมากที่สุดเลยก็ว่าได้ในชีวิตของคนเรา สิ่งนี้ก็คือ "ความรัก" นั่นเอง
" เวลา" ทำให้คนสองคนได้พบกัน "เวลา"ก็ทำให้คนแยกจากกันด้วย แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น "เวลา"ได้ทำให้คนสองคนได้รู้จักกับสิ่งๆหนึ่งที่เรียกว่า "ความรัก" ซึ่งความรักนี้เองทำให้ทุกๆเวลาที่คนสองคนได้อยู่ใกล้กันนั้นมีคุณค่ามากเกินกว่าจะบรรยาย
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556
เวลาเป็นเครื่องมือที่พิสูจน์ความรักจริงหรือ?
"หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน"
นี่คือสำนวนโบราณสำนวนหนึ่งที่เรามนุษย์ทุกยุคทุกสมัยได้รู้จักและเข้าใจกับความหมายของสำนวนนี้ได้เป็นอย่างดีว่า สิ่งต่างๆทั้งหลายที่ได้ก่อกำเนิดขึ้นมาและเป็นอย่างที่เราได้เห็นและสัมผัสนั้นล้วนแต่ต้องใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น ทั้งนี้ยังรวมไปถึงความเป็นบุคคลของเรามนุษย์แต่ละคนด้วยเช่นกันกล่าวคือ บุคคลที่เรารู้จักหรือคบหาด้วยนั้นยากนักที่จะรู้ว่าจริงๆแล้วเขาเป็นคนเช่นไรและเราอาจได้ยินจากคนอื่นว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้นเขาคนนั้นอาจเป็นตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราได้ยินและได้เห็นก็เป็นได้ ฉะนั้นกาลเวลานี้เองจะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เรารู้ว่า แท้จริงแล้วบุคคลนั้นเป็นคนเช่นไร
มีคนเคยกล่าวใว้ว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นล้วนต้องใช้เวลา" ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้เพราะว่า ต้นไม้ที่จะเติบโตได้นั้นก็ต้องอาศัยการดูแลที่ดีและระยะเวลาในการเจริญเติบโต เช่นเดียวกันกับมนุษย์เราที่จะเจริญเติบโตทั้งกายและใจได้นั้น เราก็ต้องอาศัยระยะเวลาในการเจริญเติบโตและการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษด้วยความรักเหมือนกัน
ด้วยเหตุนี้เองผมจึงอยากจะชวนให้ผู้อ่านได้ย้อนกลับไปพร้อมกันถึงช่วงเวลาในประวัติศาตร์ของผมที่ผ่านมาเมื่อครั้งสมัยที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่ง ณ ช่วงเวลานั้น ผมเล่นกีตาร์ไม่เป็นเลย ฉะนั้นผมจึงไปเรียนและฝึกเล่นกับรุ่นพี่ในบ้านเณร (ซึ่งก็มีรุ่นพี่หลายคนที่สามารถเล่นกีตาร์ได้ดีเยี่ยม) ผมก็ใช้เวลาฝึกฝนด้วยความตั้งใจและความรักเป็นเวลา 3 เดือน จนผมสามารถตีคอร์ดและเล่นเป็นเพลงได้ 1 เพลง ผมก็ดีใจมากที่ผมสามารถเล่นกีตาร์และร้องเพลงที่ผมชอบได้ในเวลานั้น และหลังจากนั้นผมก็เล่นกีตาร์เกือบทุกวัน (บางวันก็ต้องแย่งกันเล่นกับเพื่อนๆ พี่ๆ ในบ้านเณร เพราะกีตาร์มีจำนวนจำกัด) เมื่อเวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ผมก็สามารถเล่นกีตาร์ได้ดีมากกว่าเดิมในช่วงที่ฝึกฝนครั้งแรก อีกทั้งยังสามารถเล่นกีตาร์พร้อมทั้งร้องเพลงไปด้วยอย่างคล่องแคล่วมากกว่าแต่ก่อนด้วยเช่นกัน
เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าการที่ผมสามารถเล่นกีตาร์เป็นได้นั้นก็เป็นผลมาจากการที่ผมได้ลงมือฝึกฝนในการเล่นกีตาร์ด้วยความรักและความเอาใจใส่ ซึ่งผลที่ออกมานั้นก็ล้วนแต่เกิดผลดีทั้งต่อตัวผมเองในการที่จะใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์และสร้างสรรค์ อีกทั้งยังก่อให้เกิดผลดีแก่บุคคลรอบข้างด้วยเช่นกันในเวลาที่ผมต้องเล่นกีตาร์เพื่อบรรเลงเพลงในมิสซา หรือแม้กระทั่งเวลาที่มีงานเลี้ยง ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้เองที่ผมคิดว่ามันล้วนต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสุจน์ทั้งสิ้น รวมถึงเรื่องการคบคนรักด้วยเช่นกัน
ดังนั้น สำหรับผมแล้ว สำนวนนี้เป็นสำนวนที่ผมชอบมากและได้นำมายึดใช้เพื่อเป็นคติพจน์ในการดำเนินชีวิตของผมในแต่ละวันอยู่เสมอๆ ถ้าหากจะย้อนกลับไปนึกถึงช่วงเวลาที่ผมได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั้น ผมยอมรับว่า สำนวนนี้ได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีงามต่อชีวิตของผมเป็นอย่างมากและผลลัพธ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาในชีวิตของผมนี้ ก็เป็นการอธิบายถึงความหมายของสำนวนนี้ได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกันว่า ระยะเวลาที่ผมได้ศึกษาร่ำเรียนและแสวงหาความรู้ในด้านต่างๆตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนกระทั่งถึงระดับปริญญาตรีชั้นปีที่สี่ในปัจจุบันนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่จะพิสูจน์ถึงตัวตนที่แท้จริงของผมในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งว่า ผมได้พิสูจน์ตัวเองได้ดีมากน้อยเพียงใด? นั่นเอง
สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่า "เวลากับความรักนั้นล้วนมีความสัมพันธ์ต่อกัน เพราะว่า ความรักที่เรามีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นจะสามารถเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยเวลาและเวลานี่เองจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าความรักที่เรามีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นมีคุณค่ามากมายเพียงใดต่อเราแต่ละคน"
วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556
เงื่อนไขเพียงหนึ่งเดียว
ถ้าจะกล่าวถึงเงื่อนไขในชีวิตของผมนั้น ผมคิดว่าผมมีเพียงเงื่อนไขเดียวเท่านั้นคือเงื่อนไขของการเป็นลูกที่ดีของผู้ที่ให้ชีวิตผมและผู้ให้ชีวิตคนนี้คือ"พระเจ้า"นั่นเอง โดยผ่านทางพ่อแม่ของผมเอง
เมื่อตอนเป็นเด็กพ่อกับแม่มักจะย้ำกับผมเสมอว่า ให้ผมเป็นลูกที่ดีของพระเจ้าเสมอๆไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหนและทำอะไร ซึ่ง ณ ช่วงเวลานั้นผมก็ไม่รู้ถึงเงื่อนไขข้อนี้มักเท่าไรนักเพราะยังเป็นเด็กอยู่ แต่พอมาถึงปัจจุบันนี้ผมยอมรับว่าผมได้รับรู้ถึงเงื่อนไขนี้เป็นอย่างดีและเงื่อนไขนี้ก็ยังคงตราตรึงในหัวใจของผมอยู่เสมอจนถึงทุกวันนี้กล่าวคือ การที่เป็นลูกที่ดีของพระเจ้านั้นไม่ได้หมายความว่าผมต้องเป็นพระสงฆ์หรือนักบวชเท่านั้น แต่มันยังหมายถึงว่าผมควรเป็นคนที่ดีในทุกๆสถานะการณ์ ไม่ว่าจะได้บวชหรือไม่ได้บวชบวชก็ตามและเงื่อนไขนี้ก็คือ การเป็นศิษย์ติดตามองค์พระเยซูเจ้าด้วยพยานและชีวิตของผมเอง ด้วยการพูดดี คิดดีและทำดีกับทุกๆคนที่เข้ามาในชีวิตของผม ไม่ว่าคนๆนั้นจะดีกับผมหรือไม่ก็ตาม
ด้วยเหตุนี้เองผมจึงคิดว่า สิ่งนี้เป็นเงื่อนไขเดียวในชีวิตของผมที่ผมต้องปฏิบัติตาม เพราะว่าสุดท้ายแล้วผมคิดการที่ได้พูดดี คิดดี และทำดีนั้น มันมีคุณค่าและมีความหมายต่อทั้งตัวผมเองและคนรอบข้างมากกว่าการที่ผมจะต้องพูดไม่ดี คิดไม่ดี และทำไม่ดีกับคนอื่นนั่นเอง
วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556
ความทรงจำครั้งสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด
"แม้อาจเป็นสุดท้ายที่ฉันได้เจอเธอ สุดท้ายที่ฉันได้มองเธอ จะบอกให้ฟังและย้ำว่าฉันนั้นรักเธอ แม้ฉันต้องจากไป แต่ภายในใจนั้นยังรัก เธอมีค่าเกินที่ฉันจะลืม ความทรงจำครั้งนี้ไม่มีลืม"
นี่คือเนื้อเพลง "ความทรงจำครั้งสุดท้าย" ของศิลปินวงแคลชในช่วงท่อนรับที่สะกิดใจของผมทุกครั้งเมื่อได้ฟังเพลงนี้ เพราะมันทำให้ผมได้คิดถึงความทรงจำครั้งสุดท้ายกับเพื่อนสมัยประถมกลุ่มหนึ่ง เพื่อนกลุ่มนี้มีชื่อว่า "ตั้ม" "แบงค์" "จืด" "เป้า"และ "เบียร์" ผมได้รู้จักกับเพื่อนกลุ่มนี้เมื่อ 13 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นผมได้ย้ายเข้ามาเรียนในโรงเรียนรังษีวิทยา ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เขตอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นอำเภอใกล้เคียงกับบ้านเกิดของผม ผมมาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้เพราะว่าพ่อของผมต้องการให้ผมได้มีโอกาสเรียนในโรงเรียนที่ดีและมีระบบการศึกษาที่ดีกว่าในโรงเรียนประจำหมู่บ้าน เนื่องจากว่าป้าของผมเป็นครูและสอนที่โรงเรียนแห่งนี้มาหลายปี ป้าของผมจึงให้ผมมาพักอยู่ที่บ้านของท่านใกล้ๆโรงเรียนนี้และผมก็ต้องเดินไปโรงเรียนทุกวันเพราะบ้านของป้าอยู่ใกล้โรงเรียนนั่นเอง
วันแรกที่ได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ ผมรู้สึกโดดเดี่ยวมากเพราะว่าผมไม่รู้จักใครเลยและมันก็เป็นการย้ายโรงเรียนครั้งแรกของผม ผมคิดถึงเพื่อนที่อยู่โรงเรียนเดิมและทำอะไรไม่ถูก เมื่อเคารพธงชาติเสร็จพวกเรานักเรียนแต่ละชั้นก็ได้แยกย้ายกันเข้าห้องเรียนของตนเองรวมถึงผมด้วย ซึ่งตอนนั้นผมอยู่ห้องป. 5/5 มีจำนวนนักเรียนประมาณ 50 คน หลังจากที่เข้าห้องเรียนแล้ว ครูประจำชั้นของผมก็เช็คชื่อและให้นักเรียนแต่ละคนแนะนำตัว เมื่อถึงช่วงที่ผมต้องแนะนำตัว ผมก็แนะนำตัวเองได้นิดนึงและน้ำตามันก็ไหลเพราะว่าตอนนั้นผมยังไม่รู้จักเพื่อนในห้องเรียนและรู้สึกโดดเดี่ยวมาก จนครูประจำชั้นก็บอกว่า "ไม่เป็นไรนะ" แล้วท่านก็ให้ผมนั่งลงและบอกเพื่อนๆของผมว่าให้ช่วยปลอบและทำความรู้จักกับผม เพื่อที่ว่าผมจะได้รู้สึกโดดเดี่ยวเวลาอยู่ในห้องเรียน
เมื่อถึงช่วงพัก ผมก็เดินออกไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างที่ผมกำลังเดินไปเข้าห้องน้ำ ก็มีกลุ่มเพื่อนในห้องของผมประมาณ 5 คน เดินเข้ามาทักทายพร้อมทั้งแนะนำตัวให้ผมรู้จักตามชื่อที่บอกไปข้างต้นและพวกเพื่อนๆก็บอกผมว่า "ไม่ต้องกลัวว่าไม่มีเพื่อนหรอก เพราะพวกเราเนี่ยจะเป็นเพื่อนนายเอง ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกกันได้นะ" แล้วหนึ่งในกลุ่มเพื่อนกลุ่มนั้นก็ให้เงินผม 20 บาท เพื่อเอาไปซื้อขนม ซึ่ง ณ ตอนนั้น ผมก็รู้สึกดีใจที่เพื่อนกลุ่มนั้นเข้าหาผมและชวนผมเข้ากลุ่ม ส่วนเงินที่ได้รับมา ผมก็รู้สึกเกรงใจเพื่อนเหมือนกันและผมก็บอกพวกเขาว่า "ผมไม่รับเงินได้มั้ย" แต่พวกเพื่อนๆก็บอกว่า "รับไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก เราเป็นเพื่อนกัน" ตั้งแต่นั้นมาผมก็เข้ากลุ่มกับเพื่อนๆและก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไปในเวลาที่มาโรงเรียน เพราะว่าผมมีเพื่อนกลุ่มนี้ที่ชวนไปเล่นฟุตบอล ตอนช่วงพัก และเวลาอยู่ในห้อง เพื่อนๆกลุ่มนี้ก็ช่วยเหลือผมทุกอย่างในด้านการเรียน การทำงานกลุ่ม รวมถึงการพูดคุยและเล่นกันในห้องเรียนด้วยในเวลาที่ครูยังไม่เข้ามาสอน นอกจากนี้เวลาที่โรงเรียนมีกิจกรรมแข่งกีฬาสีและงานคริสต์มาส เพื่อนๆกลุ่มนี้ก็ชวนผมเข้าร่วมกิจกรรมเสมอ เช่นเดียวกันกับเวลาที่เพื่อนผมต้องการให้ผมช่วยทำการบ้าน ผมก็ช่วยเหลือพวกเขาด้วยความเต็มใจในเรื่องที่ผมช่วยได้ เพราะว่าการบ้านบางข้อนั้น ผมก็ทำไม่ได้และต้องมาลอกเพื่อนๆในห้องเหมือนกัน (ฮ่าๆๆ) ซึ่งตรงจากนี้เอง ทำให้ผมมีความสุขกับการใช้ชีวิตที่โรงเรียนแห่งนี้มากกว่าตอนที่เข้ามาเรียนวันแรกเป็นอย่างมาก
ผมเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ได้ 2 ปี และก็ต้องย้ายโรงเรียนอีกครั้งคือ การย้ายเข้ามาเป็นเณรที่บ้านเณรพระมหาไถ่ ศรีราชาและได้ศึกษาต่อที่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชาตั้งแต่ ม.1-ม.6 และช่วงที่ผมอยู่ที่บ้านเณรหรือกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวนั้น ผมก็คิดถึงพวกเขาและอยากเจอพวกเขาเหมือนกันตั้งแต่จบ ป.6 และจากกันมา แต่ผมไม่สามารถติดต่อกับพวกเขาได้ เพราะว่าผมไม่มีโทรศัพท์มือถือและไม่ได้ขอที่อยู่ อีเมล์และเบอร์พวกเพื่อนๆใว้ (ซึ่งสมัยที่ผมจบ ป.6 นั้ โทรศัพท์มือถือมันแพงมาก) ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ได้ติดต่อและเจอกับพวกเขามาเกือบ 13 ปีแล้ว แม้ว่า ณ ตอนนี้ผมก็มีโทรศัพท์มือถือแล้ว ผมก็ยังไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลย แต่ผมก็พอจะรู้อยู่บ้างเพื่อนบางคนอยู่ที่ไหน จากป้าของผมที่ยังสอนอยู่ ณ โรงเรียนแห่งนี้และผมก็ตั้งใจว่า ในวันคืนสู่เหย้าของโรงเรียนรังษีวิทยานั้น ผมอยากจะไปร่วมงานเพื่อเจอกับพวกเขาสักครั้งนึงในไม่ช้านี้ ซึ่งที่ผ่านมานั้น ทางโรงเรียนได้จัดงานตรงกับช่วงเวลาที่ผมเรียนทุกๆปีและผมก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ไปร่วมเลย
สำหรับตอนนี้ มันก็เหลืออีกแค่ปีเดียวที่ผมจะจบการเรียนการศึกษาในระดับปริญญาตรี ผมก็ตั้งใจว่าจะไปร่วมงานคืนสู่เหย้าของโรงเรียนสักครั้ง ซึ่งอาจจะเป็นปีหน้าก็เป็นได้และผมก็หวังว่าจะได้เจอกับเพื่อนๆกลุ่มนี้อีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าเวลามันจะผ่านมานานแล้วก็ตาม
วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556
เวลาเท่ากับอายุของผม หรือ อายุของผมเท่ากับเวลา
เมือผมเป็นเด็ก ผมก็คิดแบบเด็กๆ ปฏิบัติตนแบบเด็กๆ คือ ไม่คิดอะไรมากมายกับชีวิต เล่นไปวันๆอีกทั้งไม่สนใจในอนาคตที่จะเกิดขึ้นด้วยว่ามันจะเป็นอย่างไร ทุกๆวันในชีวิตก็จะคิดถึงแต่เรื่องขนม ของเล่น การ์ตูน โดยเฉพาะการ์ตูนเรื่อง ดราก้อนบอล นอกจากนี้ผมยังไม่มีความสามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้เท่าที่ควร ต้องให้แม่ซักเสื้อผ้าให้ทุกครั้งและเวลาเจ็บป่วยพ่อกับแม่ก็ต้องพาไปหาหมอและดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่เสมอๆ จนแทบจะไม่อยากให้ช่วงชีวิตนี้ผ่านไปเลย เพราะผมมีความสุขมากในเวลาที่ผมได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่และพี่น้อง แต่เวลาและอายุของผมมันไม่หยุดเดินนะซิ เพราะว่ามันเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆและอายุของผมก็มากขึ้นเรื่อยๆด้วยจนเข้าสู่ช่วงเวลาของวัยรุ่น
เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นวัยที่ผมได้เริ่มออกห่างจากพ่อแม่ ผมก็มีโอกาสได้เข้าบ้านเณรคณะพระมหาไถ่ที่ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งตอนนั้นผมก็มีอายุได้ 12 ขวบ พอดีและผมก็เริ่มมีความคิดและอยากมีชีวิตในแบบที่ผมต้องการจะเป็นคือการมีชีวิตแบบวัยรุ่น เพราะมันดูเหมือนกับว่าชีวิตมันมีอิสระ ไม่โดนบังคับจากพ่อแม่และเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่มันก็ต้องอยู่ในกฏระเบียบและขอบเขตที่บ้านเณรได้กำหนดใว้ อีกทั้งผมยังต้องดูแลรับผิดชอบชีวิตด้วยตัวของผมเองในด้านการเรียน การภาวนา การทำงาน การเล่นกีฬา การมีชีวิตหมู่คณะกับรุ่นพี่ รุ่นน้องและเพื่อนๆในบ้านเณร เพราะว่าผมไม่มีพ่อแม่ที่จะอยู่ใกล้ชิดและคอยรับผิดชอบดูแลชีวิตผมทุกๆวันตลอดเวลาเหมือนที่ผ่านมาในช่วงชีวิตของวัยเด็ก ซึ่งตรงนี้เองทำให้ผมตระหนักและเริ่มรู้สึกถึงคุณค่าและความหมายของชีวิตมากขึ้นว่า ผมต้องใช้เวลาทุกวินาทีของตัวเองในบ้านเณรนี้ให้มันมีประโยชน์และมีคุณค่าทั้งต่อตนเองและเพื่อนๆให้มากที่สุดเท่าที่จะได้ ทั้งเรื่องการเรียน การภาวนา การกีฬา การทำงานและการใช้ชีวิตกลุ่ม เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ที่ให้ชีวิตผมและบ้านเณรที่ช่วยอบรมและหล่อหลอมจิตใจของผมให้รู้จักกับ "พระเจ้า" มากกว่าตอนที่ยังเป็นเด็ก ด้วยเหตุนี้เอง แม้ว่าชีวิตในวัยรุ่นของผมอาจจะไม่ตื่นเต้นและสนุกสนานเท่ากับชีวิตวัยรุ่นของผู้คนทั่วไปที่ต้องเผชิญและต่อสู้กับสภาพแวดล้อมจากสังคมและยาเสพย์ติดทั้งหลายในทุกๆวันของชีวิต แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงคุณค่าและความหมายของชีวิตวัยรุ่นที่ผมได้รับจากบ้านเณรว่ามันก็มีความตื่นเต้นและสนุกสนานไม่แพ้ชีวิตข้างนอกเหมือนกัน อย่างไรก็ตามเวลาและอายุของผมมันก็เดินไปข้างหน้าเรื่อยๆเหมือนเดิม มันไม่เคยเดินถอยหลังเลย
เมื่อผมได้ผ่านช่วงชีวิตวัยรุ่นไปแล้วพร้อมทั้งเริ่มเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ผมก็มีความคิดแบบผู้ใหญ่ ปฏิบัติตนแบบผู้ใหญ่มากขึ้นตามวัยวุฒิและคุณวุฒิและผมได้มีโอกาสศึกษาถึงปรัชญาและมุมมองของนักปรัชญาแต่ละคนในอดีตจนถึงปัจจุบัน ณ วิทยาลัยแสงธรรม แห่งนี้ จากช่วงชีวิตตรงจุดนี้เอง ทำให้ผมผมได้รับแนวคิดและมุมมองในเรื่องของ "เวลา" มากขึ้นกว่าแต่ก่อน อีกทั้งยังเข้าใจความหมายของมันอย่างถ่องแท้ด้วยว่า "เวลากับอายุชีวิตของผมนั้นมันเท่ากันและผมไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเวลาและอายุของผมจะหมดลงในตอนไหน แต่สิ่งที่ผมทำได้และควรทำในขณะที่ผมยังมีเวลาและมีชีวิตอยู่คือ การทำสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ที่สุดให้กับตนเอง คนที่ผมรักและผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ต้องไปสนใจว่าคนอื่นเขาจะว่าอะไร จะคิดยังไง เพราะผมคิดว่าถ้าผมทำดี ผมก็จะได้สิ่งดีๆเป็นรางวัลตอบแทนอย่างแน่นอนจากพระเจ้า ผู้ซึ่งผมรักและมีความเชื่อในพระองค์ แต่ถ้าผมทำสิ่งที่ไม่ดีให้กับตนเองและผู้อื่น ผมก็จะได้รับสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิตเท่านั้นเอง" ด้วยเหตุนี้ ผมคงไม่ต้องบอกหรอกนะว่า การทำดีควรทำกันยังไง ซึ่งผมคิดว่าในใจของมนุษย์แต่ละคนนั้นรู้อยู่แก่ใจและสามารถแยกแยะได้อยู่แล้วว่า "อะไรดี" และ "อะไรไม่ดี" และ ณ ตอนนี้ผมก็อายุได้ 23 ปี แล้ว เมื่อผมได้มองย้อนกลับไปในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของผม มันทำให้ผมเข้าใจว่า "เวลาของผมมันผ่านไปเร็วพอๆกับอายุของผมเลยนะเนี่ย"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)