วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

ประวัติศาสตร์ความเชื่อของมนุษย์กับศาสนา

         

          "ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไร มันจะไปจบที่ตรงไหน แต่จะยังไง ก็ต้องไปใหถึง..............."

          ในชีวิตของคนเรานั้น "ความเชื่อ" ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญส่วนหนึ่งในชีวิตมนุษย์เราเช่นเดียวกันกับลมหายใจ ความเชื่อนี้แม้ไม่อาจสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในเชิงนามธรรม แต่เราก็สามารถมองเห็นได้จากการกระทำซึ่งออกมาในเชิงรูปธรรม ตัวอย่างเช่น บางคนเชื่อว่าสวรรค์คือสถานที่ที่มีแต่ความสงบสุข ปราศจากสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย อีกทั้งยังเป็นสถานที่อยู่ของคนที่ทำความดีทั้งหลายบนโลกใบนี้ ซึ่งถ้าพวกเขาได้ตายไปแล้ว พวกเขาก็จะมีสิทธิ์ได้อยู่ในสวรรค์ ด้วยเหตุนี้เอง บางคนจึงตั้งใจทำแต่สิ่งที่ดีให้กับตนเองและผู้อื่นอยู่เสมอๆตลอดชีวิตและลมหายใจของพวกเขา เพื่อที่ว่า เมื่อพวกเขาได้ตายไปแล้ว พวกเขาก็จะมีสิทธิ์อยู่ในสวรรค์ ตามที่ตนเองปรารถนา        

          จากตรงนี้เองทำให้ผมได้กลับมามองดูที่ประวัติศาสตร์ส่วนตัวของผมในเรื่องของความเชื่อในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อในเรื่องวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี คุณธรรม จริยะรรมและศาสนา โดยเฉพาะความเชื่อในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคของผมเอง (ซึ่งเป็นความเชื่อในเรื่อง "พระเจ้า"คือผู้สร้างและผู้ให้ชีวิตแก่สิ่งสร้างทั้งหลาย)  ซึ่งผมคิดว่าความเชื่อในเรื่องพระเจ้าของผมนั้นเริ่มจากบิดาและมารดาซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดผมมา อีกทั้งยังถ่ายทอดความเชื่อในเรื่องพระเจ้านี้ให้แก่ตัวผมเองโดยผ่านการเป็นแบบอย่างและการดำเนินทางชีวิตของพวกท่านตั้งแต่สมัยที่ผมยังเด็กจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ นอกจากนี้ผมคิดว่าความเชื่อนี้ยังเกิดจากการที่ผมได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับข้อความเชื่อในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคตั้งแต่สมัยป.2 จนถึงปัจจุบันนี้ด้วยความตั้งใจและจริงจัง รวมทั้งได้นำข้อคำสอนและความรู้ที่ได้จากการเรียนในชั้นเรียนมาฝึกฝนและปฏิบัติให้เกิดผลในการดำเนินชีวิตแต่ละวันที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน เหตุนี้เอง ผมยอมรับว่าความเชื่อในเรื่องพระเจ้านั้นได้ฝังลึกลงในจิตใจของผมตั้งแต่อดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้แล้ว จนทำให้ผมได้กลายมาเป็นคริสตชนและเป็นผู้ที่จะเตรียมตัวเป็นผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคให้กับบุคคลอื่นที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตามความเชื่อของผมในเรื่องพระเจ้านี้อาจจะถุกถอนออกไปได้เสมอๆและมันก็จะหมดไป ถ้าหากว่าผมไม่ได้ปฏิบัติตามข้อคำสอนและสิ่งที่ผมได้เชื่อโดยผ่านทางการดำเนินชีวิตของผมเอง

          ดังนั้น ผมจึงอยากจะบอกแก่ท่านผู้อ่านทั้งหลายว่า "ไม่ว่าเราจะมีความเชื่อในศาสนาใดก็ตาม มันก็ล้วนแต่จะเกิดผลดีแก่ตัวเราทั้งสิ้นถ้าหากว่าเราได้นำสิ่งที่เราเชื่อนั้นมาปฏิบัติให้เกิดผลต่อตนเองและผู้อื่นในชีวิตประจำวันของเรา แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากว่าเราไม่ได้นำสิ่งที่เราเชื่อมาปฏิบัติให้เกิดผลในชีวิตของเราแล้ว ความเชื่อของเราต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น ก็จะหายไปและหมดไปอย่างแน่นอน"

11 ความคิดเห็น:

  1. เชื่อ แล้วจะได้รับความรอด เรามีความเชื่อต่างกันแต่ก็จงทำในสิ่งที่เชื่อ ^^

    ตอบลบ
  2. บางคนเชื่อ แล้วค่อยรัก
    เพราะเชื่อมั่นว่าจะได้รับสิ่งที่ดีตอบแทน
    เพราะเชื่อมั่นว่าจะได้ทดแทนชดเชยสิ่งที่ผิด

    ความเชื่อต่อพระเจ้าก็สำคัญ
    เพราะความรักที่ทรงมีต่อเรา
    แม้พระองค์จะไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
    แต่เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่จริงๆ

    มนุษย์ตอบสนองความเชื่อของตน
    ด้วยการรักต่อเพื่อนพี่น้อง
    ด้วยการรักต่อศัตรู

    และสุดท้าย รักตัวเองด้วย.

    ตอบลบ
  3. ใช่แล้วพี่ทุกหลายสอนให้เราเป็นแต่คนดี ถ้าเราปฏิบัติสิ่งดีๆก้จะตามมาภายหลัง

    ตอบลบ
  4. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  5. "เชื่อมั่นในตัวเอง เลิกเปรียบเทียบตัวเรากับคนรอบข้าง
    เพราะทุกคนมีข้อดี ข้อเสียต่างกัน
    และคุณจะประสบความสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อยอมรับในสิ่งที่คุณเป็นเท่านั้น"

    ตอบลบ
  6. ความกลัวเป็นบ่อเกิดของศาสนา ความขาดทำให้มนุษย์หันมาหาศาสนา

    ตอบลบ
  7. เชื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เชื่อ

    ตอบลบ
  8. ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี

    ตอบลบ
  9. ศาสนามันจะดีก็อยู่ที่คน มันจะเสียก็อยู่ที่คน

    ตอบลบ
  10. ศาสนาเป็นเหมือนสบู่ ที่เป็นสิ่งที่ใช้ชำระร่างกาย
    อยู่ที่ว่ามนุษย์จะใช้มันชำระจิตใจมากแค่ไหน

    ตอบลบ
  11. แทงกิ้วสำหรับทุกคอมเม้นนะครับ

    ตอบลบ