วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556
เปิดใจเราก่อน แล้วเราจะรู้ว่าใจคนอื่นเป็นอย่างไร
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "ถ้าอยากกิน ก็ต้องเปิดปาก อยากได้ยิน ก็ต้องเปิดหู อยากได้กลิ่นก็ต้องเปิดจมูก อยากมองเห็นก็ต้องเปิดตาและอยากจะเข้าใจ ก็ต้องเปิดใจ" ซึ่งสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่เป็นความจริงมากทีเดียวในชีวิตของเราแต่ละคน
หลายๆครั้งในชีวิตเรา มันก็มีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้เราไม่ได้กิน ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้เห็นและไม่ได้เข้าใจกับสิ่งต่างๆรอบๆตัวเรา ซึ่งถ้าเราลองกลับมาพิจารณาดูดีๆแล้ว เราก็จะพบว่า สาเหตุที่สำคุัญที่สุดก็เกิดจากตัวเราเองนั่นแหละที่ไม่ยอมเปิดปาก เปิดหู เปิดจมูก เปิดตาและเปิดใจของเราเองในการรับรู้ถึงสิ่งต่างๆรอบตัวเรา จนทำให้เราไม่ได้สัมผัสกับสิ่งที่ปากเราอยากจะกินหรือดื่ม สิ่งที่หูเราอยากจะได้ยิน สิ่งที่จมูกเราอยากจะได้กลิ่น สิ่งที่ตาเราอยากจะมองเห็น และสิ่งที่ใจเราอยากจะเข้าใจในสิ่งต่างๆเหล่านั้น
เพราะฉะนั้น ในการที่เราจะได้กินหรือดื่ม ได้ยิน ได้กลิ่น ได้มองเห็นและได้เข้าใจถึงสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเราและที่เราพบเจอ มันก็จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเริ่มจากตัวเราเองในการเปิดสิ่งต่างๆเหล่านี้ ซึ่งรวมไปถึงใจของเราด้วยเช่นกัน และถ้าเราอยากรู้ว่าใจคนอื่นนั้นเป็นอย่างไร เราก็ต้องเริ่มจากตัวเองที่จะต้องเปิดใจของเราในการรับรู้และเข้าใจถึงใจของบุคคลที่เราอยากรู้จักนั่นเอง
วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556
ชีวิตเป็นของเราหรือของคนอื่น?
"คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วันและจะมีลมหายใจได้อีกกี่ครั้งยังไม่รู้ "
"ชีวิตจะเป็นแบบไหนคงต้องเลือกเอา ก็ตัวของเราและก็ใจของใครของมัน ชีวิตจะเป็นแบบนี้คงไม่ว่ากัน เพราะชีวิตมันเป็นของเรา"
นี่คือบทเพลงที่ศิลปินวง Bodyslam ได้ถ่ายทอดอารมณ์ของบทเพลงให้กับแฟนๆทั้งหลายของพวกเขารวมทั้งผมด้วย ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกชอบเพลงนี้มากและก็ฝันที่จะได้ไปชมการแสดงคอนเสริตของวงนี้อีกซักครั้งในชีวิต หลังจากที่เคยได้ไปชมมาก่อนครั้งหนึ่งแล้วในการแสดงคอนเสริตแบบนั่งเล่นที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา
เมื่อกล่าวถึงคำว่า "ชีวิต" แล้ว ทุกคนล้วนตระหนักและเข้าใจถึงคุณค่าและความหมายของคำนี้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะความเป็นบุคคลของมนุษย์เราแต่ละคน ซึ่ง "ชีวิต"นี้ประกอบด้วย "ร่างกาย" "จิตใจ" และที่ขาดไม่ได้คือ "ลมหายใจ"นั่นเอง ซึ่งทุกๆชีวิตของมนุษย์เราล้วนต้องการทั้งสามสิ่งนี้เข้าด้วยกัน จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปมิได้ นอกจากนี้ทุกคนก็ล้วนต้องการสิ่งที่ดีและมีคุณค่าทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ความรัก ความเอาใจใส่ ความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อที่จะทำให้ีชีวิตของตนเองนั้นสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้บนโลกใบนี้
หากเราแต่ละคนได้มองย้อนกลับไปถึงช่วงประวัติศาสตร์ของมนุษย์เราที่ได้ถูกบันทึกไว้ผ่านทางงานเขียนและเรื่องเล่าทั้งหลายแล้ว จะเห็นได้ว่ามนุษย์เราต่างก็ได้ใช้ชีวิตที่ตนเองมีอยู่ไปในทางที่ดีงามและไม่ดีงามควบคู่กันไปตามสถานการณ์และช่วงจังหวะของชีวิตที่แต่ละคนได้เผชิญ บางครั้งมนุษย์เราแต่ละคนได้ทำลาย "ชีวิต" ของกันและกันด้วยความตั้งใจโดยการทำสงคราม การแก่งแย่งชิงดีกันทั้งในเรื่องอำนาจ ชื่อเสียงและเงินทอง แม้กระทั่งการเมินเฉยหรือละเลยที่จะช่วยเหลือผู้คนที่ขาดแคลนทั้งเรื่องอาหารและที่อยู่อาศัย เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เอง ผมในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งบนโลกใบนี้ก็เลยเกิดคำถามขึ้นมาในหัวสมองทุกๆวันว่า "แท้จริงแล้วเราแต่ละคนนั้นมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันแน่ ?" "เราแต่ละคนมีชีวิตอยู่เพื่อทำลายกันและกัน หรือว่า เรามีชีวิตอยู่เพื่อเสริมสร้างสิ่งทีดีงามและมอบความรักให้แก่กันและกัน?" และ "ชีวิตของเราแต่ละคนนั้น แม้ว่าเราจะเป็นเจ้าของชีวิตของตัวเอง แต่เราก็มีสิทธิ์เลือกและทำในสิ่งที่ดีงาม มีคุณค่า มีความหมายให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้จริงหรือ? หรือว่า เราเลือกที่จะไม่ทำในสิ่งที่ดีงาม มีคุณค่า มีความหมายให้กับตนเองและผู้อื่นได้เช่นกัน?" ซึ่งคำถามเหล่านี้ต่างก็ต้องการคำตอบและคนที่จะตอบคำถามเหล่านี้ก็คงจะหนีไม่พ้นมนุษย์เรานั่นเอง รวมทั้งตัวผมด้วย
เพราะฉะนั้น ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ยังมี "ชีวิต" บนโลกใบนี้ ผมคิดว่า "ชีวิตที่เป็นของเราและตัวเรานั้น เราสามารถทำให้มันมีคุณค่าและมีความหมาย อีกทั้งยังประโยชน์ต่อคนอื่นได้ โดยเฉพาะคนรักของเรา คนรอบข้างของเราและคนที่ยังต้องการความช่วยเหลือทั้งร่างกาย จิตใจ อาหาร ที่อยู่อาศัยและอื่นๆ ที่พวกเขาเหล่านี้ยังต้องการการเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปในชีวิตของพวกเขาทั้งหลาย เพื่อที่ว่าพวกเขาเหล่านี้จะได้มี "ชีวิต" ที่เหมือนกันกับเราและเท่าเทียมกันกับเรา โดยที่เราไม่ได้ไปครอบงำหรือเป็นเจ้าของชีวิตของพวกเขา"
สุดท้ายนี้ผมก็อยากจะฝากคำถามให้กับผู้อ่านแต่ละท่านว่า "ชีวิตที่เรามีและได้รับมาจากผู้ให้กำเนิดเรานั้น เราใช้มันอย่างคุ้มค่ากับสิ่งที่เราได้รับมาแล้วรึยัง?" ถ้ายัง ก็จงทำให้มันมีคุณค่าและมีความหมายเถิดครับ
ประวัติศาสตร์ความเชื่อของมนุษย์กับศาสนา
"ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไร มันจะไปจบที่ตรงไหน แต่จะยังไง ก็ต้องไปใหถึง..............."
ในชีวิตของคนเรานั้น "ความเชื่อ" ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญส่วนหนึ่งในชีวิตมนุษย์เราเช่นเดียวกันกับลมหายใจ ความเชื่อนี้แม้ไม่อาจสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในเชิงนามธรรม แต่เราก็สามารถมองเห็นได้จากการกระทำซึ่งออกมาในเชิงรูปธรรม ตัวอย่างเช่น บางคนเชื่อว่าสวรรค์คือสถานที่ที่มีแต่ความสงบสุข ปราศจากสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย อีกทั้งยังเป็นสถานที่อยู่ของคนที่ทำความดีทั้งหลายบนโลกใบนี้ ซึ่งถ้าพวกเขาได้ตายไปแล้ว พวกเขาก็จะมีสิทธิ์ได้อยู่ในสวรรค์ ด้วยเหตุนี้เอง บางคนจึงตั้งใจทำแต่สิ่งที่ดีให้กับตนเองและผู้อื่นอยู่เสมอๆตลอดชีวิตและลมหายใจของพวกเขา เพื่อที่ว่า เมื่อพวกเขาได้ตายไปแล้ว พวกเขาก็จะมีสิทธิ์อยู่ในสวรรค์ ตามที่ตนเองปรารถนา
จากตรงนี้เองทำให้ผมได้กลับมามองดูที่ประวัติศาสตร์ส่วนตัวของผมในเรื่องของความเชื่อในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อในเรื่องวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี คุณธรรม จริยะรรมและศาสนา โดยเฉพาะความเชื่อในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคของผมเอง (ซึ่งเป็นความเชื่อในเรื่อง "พระเจ้า"คือผู้สร้างและผู้ให้ชีวิตแก่สิ่งสร้างทั้งหลาย) ซึ่งผมคิดว่าความเชื่อในเรื่องพระเจ้าของผมนั้นเริ่มจากบิดาและมารดาซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดผมมา อีกทั้งยังถ่ายทอดความเชื่อในเรื่องพระเจ้านี้ให้แก่ตัวผมเองโดยผ่านการเป็นแบบอย่างและการดำเนินทางชีวิตของพวกท่านตั้งแต่สมัยที่ผมยังเด็กจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ นอกจากนี้ผมคิดว่าความเชื่อนี้ยังเกิดจากการที่ผมได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับข้อความเชื่อในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคตั้งแต่สมัยป.2 จนถึงปัจจุบันนี้ด้วยความตั้งใจและจริงจัง รวมทั้งได้นำข้อคำสอนและความรู้ที่ได้จากการเรียนในชั้นเรียนมาฝึกฝนและปฏิบัติให้เกิดผลในการดำเนินชีวิตแต่ละวันที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน เหตุนี้เอง ผมยอมรับว่าความเชื่อในเรื่องพระเจ้านั้นได้ฝังลึกลงในจิตใจของผมตั้งแต่อดีตจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้แล้ว จนทำให้ผมได้กลายมาเป็นคริสตชนและเป็นผู้ที่จะเตรียมตัวเป็นผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิคให้กับบุคคลอื่นที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตามความเชื่อของผมในเรื่องพระเจ้านี้อาจจะถุกถอนออกไปได้เสมอๆและมันก็จะหมดไป ถ้าหากว่าผมไม่ได้ปฏิบัติตามข้อคำสอนและสิ่งที่ผมได้เชื่อโดยผ่านทางการดำเนินชีวิตของผมเอง
ดังนั้น ผมจึงอยากจะบอกแก่ท่านผู้อ่านทั้งหลายว่า "ไม่ว่าเราจะมีความเชื่อในศาสนาใดก็ตาม มันก็ล้วนแต่จะเกิดผลดีแก่ตัวเราทั้งสิ้นถ้าหากว่าเราได้นำสิ่งที่เราเชื่อนั้นมาปฏิบัติให้เกิดผลต่อตนเองและผู้อื่นในชีวิตประจำวันของเรา แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากว่าเราไม่ได้นำสิ่งที่เราเชื่อมาปฏิบัติให้เกิดผลในชีวิตของเราแล้ว ความเชื่อของเราต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น ก็จะหายไปและหมดไปอย่างแน่นอน"
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556
บทเพลง "อบู อเบ อเชโบ๋"
นี่คือบทเพลงที่เกี่ยวกับกาลเวลาที่นำพาให้เราแต่ละคนได้พบเจอกับสิ่งๆหนึ่ง ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมากที่สุดเลยก็ว่าได้ในชีวิตของคนเรา สิ่งนี้ก็คือ "ความรัก" นั่นเอง
" เวลา" ทำให้คนสองคนได้พบกัน "เวลา"ก็ทำให้คนแยกจากกันด้วย แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น "เวลา"ได้ทำให้คนสองคนได้รู้จักกับสิ่งๆหนึ่งที่เรียกว่า "ความรัก" ซึ่งความรักนี้เองทำให้ทุกๆเวลาที่คนสองคนได้อยู่ใกล้กันนั้นมีคุณค่ามากเกินกว่าจะบรรยาย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)